ได้ดูหนังเรื่องTomorrowlandกันหรือยังครับ เป็นหนังของDisneyที่พึ่งออกเป็นแผ่นBlu-ray ถ้าไม่คิดอะไรก็ดูสนุกสนานตามประสาหนังDisneyทั่วๆไป บางคนก็ชมว่าเรื่องนี้ภาพสวยดี เสียงก็ดีแต่ฉากactionบู้ล้างผลาญก็ไม่ได้เยอะมากก็คงตามแบบฉบับของหนังDisney

รู้ไหมครับว่าหนังเรื่องนี้ที่บอกว่าภาพสวยเสียงดีนี่ไม่ธรรมดา เพราะว่าเป็นหนังเรื่องแรกที่ทำการบันทึกและpost productionเพื่อที่จะฉายในโรงDolby Cinema

ต้องอธิบายนิดหนึ่งว่าโรงDolby Cinemaก็คือโรงที่ทางDolbyได้Certifiedว่าเป็นโรงที่มีภาพและเสียงดีกว่าโรงหนังทั่วๆไปที่ดูกัน อารมณ์ประมาณโรงที่ได้THXหรือโรงIMAXที่มีระบบภาพกับเสียงที่ไม่เหมือนโรงอื่นๆ แน่นอนระบบเสียงในโรงต้องเป็นDolby Atmosส่วนระบบภาพทาง Dolby Visionได้โฆษณาว่าในโรงของเขาจะใช้เป็นแบบHigh Dynamic Range(HDR) เพราะอย่างที่ผมเคยบอกไว้ว่าภาพที่ดีที่สวยนั้นสิ่งที่สำคัญที่สุดคือDynamic Rangeของภาพ หรือช่วงระหว่างสีดำที่สุดกับที่ขาวสว่างที่สุด ทางDolby Visionก็คงรู้จุดนี้ดีเลยเอามาเป็นจุดขายเลยโดยClaimไว้ว่าภาพของDolby CinemaมีContrast ratio ถึง1,000,000:1 ส่วนเวลาสว่างที่สุดสามารถทำความสว่างได้ถึง 31.5fL(Foot-Lamberts) ซึ่งในโรงมาตรฐานทั่วไปจะอยู่ที่14fL แสดงว่ามันสว่างกว่าโรงหนังที่เราดูถึงสองเท่า(แต่โรงหนังทั่วๆไปในประเทศไทยบางโรงที่ผมเคยไปดูผมว่าไม่น่าเกิน7fLทั้งมัวทั้งมืดดูหนังแล้วไม่สนุกเลย) ส่วนถ้าในโรงIMAXก็ประมาณ28fL ซึ่งการที่มีHDRมันทำให้ผู้กำกับสามารถสร้างสรรค์ภาพที่มีรายละเอียดในเงามืดมากขึ้น ท้องฟ้ากลางคืนก็จะเป็นสีดำสนิทไม่ใช่สีน้ำเงินเข้ม ในส่วนที่สว่างก็สามารถใส่วัตถุเข้าไปให้ไล่ระดับความสว่างได้ทำให้วัตถุเด่นหรือแยกจากฉากหลังได้ชัดเจนกว่า เรื่องของสีColor Spaceก็จะใช้DCI P3ที่มีระดับสีที่กว้างมากกว่า Rec709ที่เราใช้อยู่โดยทั่วไปมาก Joel Silverเคยให้ผมดูภาพที่เป็นP3(พีทรี) เทียบกับRec709(เร็คเซเวนโอไนน์)ในภาพเดียวกันกับจอที่รองรับP3ต้องบอกว่าสีสันกับความสวยของภาพคนละเรื่องเลย ดูแล้วRec709นี่กลายเป็นเด็กไปเลยครับ(ถ้ามีโอกาสค่อยเล่าถึงเรื่องนี้อีกทีเพราะละเอียดมากครับ) แน่นอนเครื่องฉายที่จะทำได้ระดับนี้ต้องเป็นพวกLaser Projectorเท่านั้น โดยในโรงDolby Cinemaเขาได้ใช้เครื่องฉายคุณภาพระดับโลกก็คือChristie RGB laser projector ซึ่งต้องยอมรับว่าChristies(คริสตี้) เป็นโปรเจคเตอร์ดีที่สุดของโลกยี่ห้อหนึ่งในปัจจุบันนี้เลย

ดูแล้วหนังเรื่องนี้เขาจะเน้นเรื่องภาพเป็นพิเศษ ดูจากผู้กำกับBrad Bird เขาก็ได้ผู้กำกับที่เคยได้สองรางวัลออสการ์จากเรื่อง Ratatouille(2007) กับ The Increadibles(2004) ดูแต่ละเรื่องนี่ไม่ต้องพูดถึงเรื่องภาพว่ายอดเยี่ยมระดับไหน

เท่านั้นยังไม่พอยังได้สุดยอดผู้กำกับภาพClaudio Miranda ที่การันตีด้วยผลงานOscarด้านภาพจากเรื่องLife of Pi

หนังเรื่องนี้ถ่ายทำfilmingในระบบ4K ก่อนการถ่ายทำ Claudio ได้ทำการลองกับกล้องถ่ายหนังที่ดีที่สุดถึง 7ตัว

เพื่อที่จะดูว่าภาพจากตัวไหนให้สีในความคมชัดระดับ4K ที่เหมาะกับหนังเรื่องนี้ที่สุด กล้องระดับHigh Endไม่ว่าจะเป็น Sony F65, SonyF55, Alexa, Panasonic,IMAX70mm, Red’s Epicฯลฯ จึงได้ถูกเอามาลองถ่ายจริงๆ

สรุป Brad Bird เลือกตัวนี้ครับ Sony F65ตัวเดียวกับที่แกเคยใช้ถ่ายหนังเรื่องOblivion แกบอกว่าให้ภาพสวย สีสันสุดยอดในสภาพแสงที่ใช้ในหนังเรื่องนี้

Bradบอกว่ามีกล้องหลายตัวได้ภาพสวยมาก แต่ไม่เหมาะกับหนังเรื่องนี้เช่นกล้องIMAX70mmที่เคยใช้ถ่ายMission Impossible ได้ภาพออกมาสุดยอด แต่เสียงตอนถ่ายทำดังมาก จึงไม่เหมาะเวลาถ่ายทำฉากที่ต้องการอารมณ์ต้องการความเงียบ

สังเกตุว่าหนังเรื่องนี้ใช้สีของภาพเป็นตัวกำหนดอารมณ์ของหนังได้ดีมาก เช่นดูจากฉากที่นางเอกได้เขาไปอยู่ในโลกอนาคตจากการแตะเข็มกลัด ทางด้านColoristได้อธิบายว่าเขาพยายามสื่อให้บรรยากาศตอนก่อนแตะที่นางเอกจะอยู่ในสถานีตำรวจมีโทนสีออกมืดๆเย็นและเยือก แต่เมื่อแตะแล้วสีที่ใช้จะเป็นสีที่บ่งถึงความหวัง อนาคตความสว่างสดใส ซึ่งเขาได้ประโยชน์จากHDR และ P3ตรงนี้ได้มากทีเดียว

ส่วนใครยังไม่ได้ดูก็ลองหามาดูนะครับ ถึงแม้ว่าเรายังจะไม่ได้ประโยชน์เต็มที่จากHDR และ P3ที่เขาถ่ายทำเพราะอุปกรณ์ของเรายังไม่รองรับ แต่Coloristบอกไว้ว่าเขาได้พยายามgradeให้ภาพที่ออกมาในแต่ละversionใกล้เคียงกับที่เห็นในDolby Cinemaมากที่สุด (เพราะหนังเรื่องนี้ต้องนำไปฉายในโรงที่หลากหลายทั้งโรงธรรมดา โรงIMAX โรงDolby Cinema และต้องทำออกมาเป็นแผ่นblu-rayด้วย) เมื่อgradingเสร็จทางBrad Birdก็จะมาตรวจสอบอีกรอบว่าได้ภาพเหมือนกับที่เขาตั้งใจไหมซึ่งcoloristบอกว่าขั้นตอนgradingเขาใช้เวลาเป็นเดือนในการทำทีเดียว
