เรื่องเห็นต่างเป็นสิ่งที่ดีและควรจะมีครับ เพราะแต่ละคนก็มีมุมมองหลักคิด หลักการตัดสินใจไม่เหมือนกันครับ
ผมมีมุมมองว่าสายมีหน้าที่เชื่อมต่อสัญญาณไฟฟ้าจากอุปกรณ์หนึ่งไปอีกอุปกรณ์หนึ่ง โดยให้มีการสูญเสียของสัญญาณต้นตอให้น้อยที่สุด งบประมาณส่วนใหญ่ของการเล่นเครื่องเสียงเลยลงไปที่อุปกรณ์หลัก
สายแพงมากๆเลยถูกตัดออกโดยมุมมองนี้ครับ เพราะสายที่ spec ที่ต้องการความสูญเสียต่ำมาก (ultra low loss) ที่ใช้ในงาน military หรือ medical ก็ไม่ได้ราคาแพงมากครับ
http://tempflex.com/products ดูจากเทคโนโลยีการผลิตแล้ว Nordorst น่าจะให้เจ้านี้ OEM ให้ครับ ผมเคยสั่งซื้อสายของเจ้านี้มา DIY เองก็ตกเมตรไม่กี่ร้อยครับ
ที่ผ่านมาผมเคยใช้สายที่อยู่ใน audiophile grade พวก Kimber, Straight wire, Furutech, Oyaide, Monster, DH Labs, Van den Hul, Eagle ซึ่งแต่ละยี่ห้อก็มี sound signature ของตนเอง ก็จับมา match ตามความชอบ
สาย professional ก็เคยลอง Belden, Canare, Mogami ซึ่งที่ผ่านมา ความถูกหูก็มีน้อยกว่าสาย audiophile grade แต่ก็อาจจะเป็นรุ่นที่ผมเลือกใช้ในอดีต
ก่อนจะมาเล่นสายสัญญาณ Bluejeans ผมลองซื้อสาย HDMI เขามาเล่นก่อน เปรียบเทียบกับตัว Top ของค่ายญี่ปุ่นตัวหนึ่งกับตัว Top ของค่ายอังกฤษ ที่แพงกว่า 10 กว่าเท่า ผมไม่เห็นข้อแตกต่างอย่างมีนัย
ก็เลยลองสั่งสาย RCA กับ XLR ของ Bluejeans มาลองเล่นดู เทียบกับสายที่แพงกว่าเป็น 10 ถึง 30 เท่าที่ใช้อยู่ Bluejeans ทำได้ดีกว่าในระบบผมจนผมงง เลยเป็นที่มาของการแนะนำยี่ห้อนี้ครับ
ผมอ่านเวปของ Bluejeans ก็รับรู้ได้ถึงการให้ข้อมูลเชิงวิชาการจริงๆ ตรงไปตรงมา เทียบกับเวปของสายราคาแพงมากๆหลายๆเวป ที่ผมเห็นเป็นศัพท์แสงที่ไม่ได้เป็นศัพท์มาตรฐานในทางวิทยาศาสตร์
แต่เป็นการเขียน copy ให้ดูเหมือนเป็นวิทยาศาสตร์ครับ
ผมมาลองคิดๆดูโครงสร้างต้นทุนของสาย Bluejeans ที่ซื้อตรง กับสาย audiophile ที่ผมเคยซื้อที่คุณภาพใกล้เคียงกัน ผมกำลังจ่ายอะไร
ฺBluejeans: ค่าสาย + ค่าใช้จ่ายและกำไร ของ BJ + ค่าขนส่ง + ภาษี
สาย Audiophile: ค่าสาย + ค่าบรรจุภัณฑ์ + ค่าใช้จ่ายและกำไรของ brand นั้น + ค่าโฆษณาในต่างประเทศ + ค่าขนส่ง + ภาษี + ค่าใช้จ่ายและกำไรของผู้นำเข้า + ค่าใช้จ่ายและกำไรของร้านค้า + ค่าโฆษณาในประเทศ
พอคุณภาพอยู่ใน league เดียวกันก็เลยตัดสินใจไม่ยาก และถ้ามีโอกาศ ก็แนะนำให้นักเล่นลองหามาเล่นดูครับ